จิตตวิเวก
ธรรมจากจิตอันสงบ
ธรรมบรรยายของพระสุเมธาจารย์
น.พ. วิเชียร สืบแสง แปล
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔: ๒๒ เมษายน ๒๕๔๕
คุณหมอวิเชียร สืบแสง เป็นผู้แปลธรรมบรรยายของท่านสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธภิกขุหลายเรื่องออกมาตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓.   ผมเคยอ่านประวัติของท่านสุเมโธ มาบ้างแล้ว  ใน You tube ก็มีอัตชีวประวัติที่ท่านเล่า.  ท่านอาจารย์สุเมโธเป็นพระภิกษุชาวอเมริกันผู้เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง.  การอ่านครั้งนั้นผมประทับใจมากกับการพยายามนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในอังกฤษของท่านสุเมโธ  จนกระทั่งสามารถสร้างวัดและมีผู้สนใจมาศึกษาและปฏิบัติธรรมมาก.  ผมไม่ทราบว่ามีผู้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับศาสนาพุทธในอังกฤษตั้งแต่ยุคแรก ๆ บ้างหรือไม่.  ถ้ามีก็น่าจะมีคนแปลออกมาให้คนไทยอ่านกันบ้าง.   ผมเองก็ทราบเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเขียนของอาจารย์หลายท่าน  แต่ถ้าจะลงลึกไปถึงความคิดของคนอังกฤษ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ก็จะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้มากขึ้น.  คำบรรยายของท่านอาจารย์สุเมโธในหนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้ก็มีการเปรียบเทียบวัฒนธรรมของอเมริกันและอังกฤษเอาไว้บ้างเหมือนกัน  แต่ยังไม่มากนัก.
ผมได้หนังสือนี้มาจากแผงหนังสือสนามหลวงในระหว่างงานสัปดาห์วิสาขบูชา ปี 2553 นี้เอง.  เมื่ออ่านแล้วก็ประทับใจในการสอนของท่านมาก.  ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมคุ้นเคยกับความคิดของฝรั่งต่างชาติสมัยทำงานที่เอไอทีมานานร่วม ๒๓ ปี.  ทำให้ผมเข้าใจเหตุผลที่ท่านสอน และ ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเพื่อนร่วมงานฝรั่งได้เป็นอย่างดี.  ผมจะไม่กล่าวถึงเรื่องเหล่านั้น  แต่จะขอยกคำสอนบางส่วนของท่านที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันมาไว้ในที่นี้.
“โลกของเราทุกวันนี้ขาดเมตตาธรรม   เพราะเราพัฒนาความสามารถในด้านตำหนิติเตียนกันมากจนเกินไปป  เราชอบวิพากษ์วิจารณ์อยู่เป็นนิจ  เราอยู่กับความหลงผิดที่ติดอยู่กับตัวเราเอง กับผู้อื่น และกับสังคมที่เราอาศัยอยู่  เมตตาธรรมนั้นหมายถึงว่าเราจะไม่อยู่กับความเกลียดชัง แต่จะมีความปรารถนาดีและอดทน  แม้กระทั่งกับสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง  มันง่ายที่จะเมตตาสงสารคนที่เราชอบพอหรือเด็กเล็ก ๆ น่าเอ็นดู  หรือคนชราซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปอยู่ด้วย  และมันก็ง่ายที่จะมีความปรารถนาดีกับคนที่มีปรัชญาและแนวคิดทางการเมืองตรงกัน  และกับคนที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย  แต่เป็นการยากที่จะเมตตาคนที่เราไม่ชอบ  คนที่เป็นภัย  หรือคนที่น่ารังเกียจ  เพราะต้องใช้ความอดทนอย่างมากทีเดียว”
ลองพิจารณาดูจิตของตัวเองดีไหมครับว่า  เหตุการณ์ทุกวันนี้ทำให้เราโกรธเกลียดใครบ้าง.  แต่เราจะยุติความโกรธเกลียดนี้ได้ด้วยการมีเมตตาได้อย่างไร?  คนเหล่านี้เผาบ้านเผาเมือง, ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียทรัพย์สินและขาดเครื่องมือทำมาหากิน,  ทำให้หลายคนเสียชีวิตและพิการ,  ทำให้อาคารสำคัญของราชการต้องพินาศ, ฯลฯ.
ท่านสุเมโธเฉลยว่า  “ในขั้นแรก  เราจะเริ่มที่ตัวเราก่อน  เป็นธรรมเนียมทางพุทธศาสนาที่จะเริ่มแผ่เมตตา  เราจะเริ่มด้วยเมตตาตนเองก่อนเสมอ  ทั้งนี้มิได้หมายความว่า  “ฉันรักตัวฉันเอง”  แต่หมายความว่าเราจะไม่เกลียดชังตัวเราเองอีกต่อไป  เราจะส่งความปรารถนาดีไปยังสภาวะต่าง ๆ ของกายและใจ  เราจะแผ่เมตตาและอดทนต่อความผิดพลาด  ความคิดชั่ว  อารมณ์ร้าย  โทสะ  ตัณหา  ความกลัว  ความสงสัยลังเลใจ  ความอิจฉาพยาบาท  ความหลง  ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่น่านิยมชมชอบเกี่ยวกับเรา”
ท่านอธิบายเรื่องนี้อีกมากแล้วมาลงที่ “ก่อนที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงที่สังคม  เราต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน  โดยแผ่เมตตาให้แก่สภาพของกายและจิต  เมื่อเราป่วย  เราเมตตาต่อโรคที่กำลังเป็นอยู่นี้  มิได้หมายความว่าเราจะช่วยให้โรคมันอยู่นาน ๆ  หรือปฏิเสธไม่ยอมรับยาปฏิชีวนะ  เพราะเรามีเมตตาเกรงว่ายาจะไปฆ่าเจ้าตัวจุลิทรีย์เล็ก ๆ ที่มันเล่นงานเราอยู่   แต่หมายความว่าเราจะไม่ตั้งข้อรังเกียจเอากับความไม่สบายและความอ่อนเพลียทางกายที่กำลังป่วยอยู่  เราสามารถเรรียนทำสมาธิในขณะเป็นไข้ หรือกำลังอ่อนเพลีย  หรือเมื่อขบตามร่างกาย  เราไม่ต้องไป (ไม่) ชอบใจมัน  ที่เราต้องทำนั้นคืออดทนกับมัน  เข้าใจมัน  ไม่ไปเกลียดมัน  ถ้าเราขาดเมตตาธรรม  เราก็มักจะไปตอบโต้กับสภาวะเหล่านั้น  ด้วยความอยากที่จะขจัดมันไปเสียแล้ว  เจ้าความอยากนั้นเองจะทำให้เราท้อแท้และหมดอาลัย”
การมีเมตตาธรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากแต่ในสถานการณ์ที่มีข่าวเรื่องราวร้าย ๆ เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์และในเว็บต่างๆ ตลอดเวลานั้น  เราก็อาจจะมีเมตตาธรรมต่อไปไม่ไหว.  ดังนั้นเราควรพิจารณาหาทางเรียนรู้ความเป็นจริงของโลกต่อไป. 
ท่านสุเมโธสอนว่า  “สมาธิภาวนา คือ รู้สภาพความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา  รู้ทันถึงสภาพของจิตตามที่เป็นอยู่   คนไร้ปัญญาจะไม่เข้าใจในเรื่องอย่างนี้  เขาคิดว่าสภาพของจิตคือตัวเขาเอง  หรือไปคิดว่าเขาไม่ควรมีสภาพอย่างนั้น  ควรเป็นอย่างอื่น  ถ้าท่านเป็นบุคคลที่เล็งผลเลิศ  ท่านก็อยากจะเป็นคนดี  เป็นนักบุญ  ฉลาด  น่าเคารพ และองอาจกล้าหาญ  ซึ่งเป็นลักษณะที่ดีงามที่สุดของมนุษย์ปุถุชน  ทั้งหมดนี้เป็นอุดมการณ์ที่น่าสนใจน่าปรารถนา  แต่แล้วท่านก็ต้องมาเผชิญกับความจริงในชีวิตประจำวัน  เราจะพบว่าเรายังติดอยู่กับความโกรธ  ความริษยา  และความโลภ  คิดมิชอบต่อผู้อื่น  ซึ่งถ้าหากเราอยากจะเป็นคนดีมีอุดมคติ  เราก็ไม่ควรมีอารมณ์อย่างนั้น  แล้วเราก็ไปตีโพยตีพายว่า  “ตัวเรานั้นยังห่างไกลกับการจะเป็นคนดี  เราหมดหวังเสียแล้ว  เป็นคนเลวใช้ไม่ได้!”  ทำไม?  ก็เพราะสภาพจิตของเรายังไม่สอดคล้องกับอุดมคติเสมอไปนัก  บางครั้งเราทำได้  บางครั้งทำไม่ได้ก็เกิดความสงสัยลังเลใจ
                                                             
“ทีนี้  เราสามารถจะรู้ทันสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องพยายาม  อยากจะมี  อยากจะเป็น  คือ  รู้ว่าสภาวะทั้งหลายทั้งปวงนั้น  มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น  เอาเถอะไม่ว่ามันจะสูงส่งองอาจ  กล้าหาญ หรือ อ่อนแอ  หรือโง่เขลาเบาปัญญา  มันก็เป็นเพียงสภาวะที่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ  ซึ่งเราไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าและควบคุมได้  ฉะนั้น  ให้เริ่มรู้ทันเสียแต่บัดนี้ว่า  สังขารในขั้นที่ยังมีการปรุงแต่งอยู่นั้น   ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวข้อง่งผลต่อกันอยู่  ไม่มีทางที่เราจะแยกตัวของเราเอง  ออกจากทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยสิ้นเชิง   ดังนั้นในขั้นนี้เราทำอะไรไม่ได้มากนัก  นอกจากให้รู้ทันเอาไว้  มีทางออกอยู่ทางหนึ่งก็คือ  ให้ประกอบแต่กรรมดี   ถ้าท่านมีสติปัญญา  ท่านจะใช้กายวาจาของท่านด้วยวิธีอันแยบคายต่อสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย  และต่อโลกที่ท่านอาศัยอยู่  คือใช้ด้วยความมีเมตตากรุณาและมีคุณธรรม
“ในจิตใจของบุคคลนั้น  อะไร ๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้  อาจจะนึกอยากฆ่าคนก็ได้  แต่ท่านไม่ทำ  เพราะท่านรู้  คือรู้ว่าความนึกคิดอย่างนั้นเป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่ง  ไม่มีตัวตน  หรือเป็นของตน   ในที่นี่มีใครบ้างที่เคยคิดอยากจะฆ่าคน  อาตมาเคย  อาตมารู้เรื่องการฆ่า  แต่ไม่เคยฆ่าใครหรือแม้แต่เฉียด ๆ  เข้าไป  แต่ความนึกคิดนั้นมันมีอยู่  แล้วเจ้าความนึกคิดเหล่านี้มันมาจากไหน  มีอะไรเลวร้ายหนักหนาภายในตัวอาตมา  จนต้องไปนั่งวิตกกังวลหรือ  หรือวามันเป็นความโน้มเอียงของจิตโดยธรรมชาติที่  เมื่อรู้สึกเคียดแค้นชิงชังขึ้นมาแล้ว  ก็อยากจะกำจัดทำลายล้างไปเสียให้สิ้น  มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ๆ อย่างหนึ่ง
“การฆ่ากันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  เกิดขึ้นตลอดเวลา  สัตว์มันจะฆ่ากันเอง  ท่านเข้าไปในป่าเวลากลางคืนแล้วลองฟังดูซิ  จะได้ยินเสียงฆ่ากันตลอดเวลา  กระต่างจะร้องลั่นเมื่อถูกสุนัขจิ้งจอกงับคอหอย  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ  ไม่มีอะไรผิดปกติ  แต่ในด้านศีลธรรมแล้ว   พวกเราในฐานะผู้ใฝ่หาธรรม  ผู้รู้ผิดรู้ชอบ  แม้เราอาจจะมีความนึกคิดอย่างนั้น  แต่เราไม่ทำ  ตรงกันข้ามเรากลับจะรู้ทันว่านั่นมันเป็นเพียงอารมณ์  ซึ่งก็คือสภาวะอย่างหนึ่ง  อาตมาพูดเช่นนี้หมายความว่าให้รู้ทันว่า  “มันเป็นของมันอย่างนั้น”…”
เนื้อหาที่ผมได้คัดลอกมาทุกประโยคนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย.  ท่านสุเมโธ  ท่านบอกเราว่า  เราต้องมีเมตตาธรรม  แต่ในสถานการณ์แบบที่เกิดกับประเทศไทยเรานี้  บางครั้งพวกเราก็อาจจะทำใจได้ยาก.  เราอาจจะนึกเคียดแค้น  อยากฆ่าพวกผู้ก่อการร้ายที่ทำกับประเทศอย่างนี้.  ท่านสุเมโธบอกว่าความคิดเช่นนั้นก็เป็นธรรมชาติ  แต่เมื่อคิดแล้วขอให้เรารู้ว่ากำลังคิด  เฝ้าดูเฉย ๆ  ไม่ต้องไปคิดว่าเรากำลังคิดไม่ดี  หรือเราเป็นคนเลว.  เมื่อเราเฝ้าดูความคิดนั้นไปเรื่อย ๆ ด้วยความมีสติ  ความคิดนั้นก็จะหายไปเอง  เพราะความคิดนั้นก็เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง  ไม่ใช่ความจริงแท้.  มันปรากฏขึ้นอย่างธรรมดา ๆ  และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป.  อย่างไรก็ตามกรุณาเข้าใจด้วยว่า  ท่านสุเมโธเทศน์เรื่องนี้เมื่อกันยายน ๒๕๒๕ นะครับ  ท่านไม่ได้พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๕๓ นี้เลย.  ผมเพียงแต่นำข้อความของท่านมาเรียบเรียงให้ท่านคิดตามสถานการณ์เท่านั้น.
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น