วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปริศนาธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย

ปริศนาธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย

เมื่อสองวันมานี้ผมได้อ่านหนังสือ ๘๐ ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร แห่งวัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร. หลวงปู่ท่านมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล และ ได้อยู่อุปฐากหลวงปู่ขาวจนท่านละสังขาร. ต่อจากนั้นท่านจึงมาอยู่ที่วัดป่าเขาน้อยที่พิจิตรนี้. ท่านได้เล่าปริศนาธรรมของหลวงปู่ขาวที่น่าสนใจไว้สามเรื่อง ซึ่งผมขอนำมาเล่าต่ออย่างย่อ ๆ ดังนี้...
1. เรื่องที่หนึ่ง ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญร้อน ภายหลังจะดิ้นตาย หลวงปู่จันทาท่านอธิบายว่า เราต้องรีบประพฤติปฏิบัติ ทำคุณงามความดี อดนอนผ่อนอาหาร เผากิเลสให้เร่าร้อน ทั้งวันทั้งคืน ไม่หวั่นไหวต่อร้อนหนาวและหิวกระหาย เมื่อจิตสงบลงไปได้ ขณิกสมาธิ หรือ อุปจาระสมาธิ ก็เท่ากับนอนเย็นสบาย ส่วนใฝ่เย็นจะเข็ญร้อน ภายหลังจะดิ้นตายนั้น หมายถึงผู้ประมาท ไม่เร่งทำความเพียร ผลัดวันเวลาอยู่เสมอ เมื่อไฟร้อนคือความเจ็บไข้ได้ป่วยมาถึง ก็จะดิ้นตาย หรือเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ก็ไม่มีสติปัญญาแก้ไขออกจากเหตุร้ายนั้น ก็เหมือนกับดิ้นตาย.
2. รีบพายเรือ ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า หลวงปู่จันทาอธิบายว่า รีบพายเรือ คือ รีบเดินจงกรมเดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอนผ่อนอาหารพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็นแจ้งประจักษ์ทุกเมื่อ จิตจะรวมลงสู่ภวังคภพอันแน่นแฟ้น แล้วเห็นของจริง ว่ามีอะไรบ้างอยู่ในตลาดนี้ ซึ่งตลาดนั้นก็คือร่างกายนั่นเอง ส่วนตะวันจะสาย หลวงปู่จันทาบอกว่าก็คือ มันจะแก่นั่นเอง ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า ก็คือ ตาย ร่างกายเปรียบเสมือนสายบัว วายคือตาย สายบัวมันก็เน่า ไม่มีอะไรเป็นของเราแท้ ๆ.
3. บ้านใกล้ครั่ง ย้อมครั่งไม่แดง นอนตะแคง ผิงแดดไม่อุ่น สวดจุ้มกุ้มมืองุ่มไม่ถึง. หลวงปู่จันทา ท่านอธิบายว่า บ้านใกล้ครั่ง ย้อมครั่งไม่แดง ก็คือพวกเราที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ก็เลยไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม จิตก็ไม่ได้บรรลุธรรม ไม่ได้ลิ้มรสของความสงบ มีแต่กิเลสเผาใจให้เร่าร้อน นั่นก็คือ ย้อมครั่งไม่แดง ส่วนนอนตะแคงผิงแดดไม่อุ่น นั้น คือ ผู้เกียจคร้าน ไม่เจริญธรรม เมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วยมาถึง ความตายมาถึงแล้ว หาความสุขอะไรไม่ได้ มีแต่ความเร่าร้อน แม้จะมีข้าวของเงินทองมากมาย มันก็ไม่มาช่วยเหลือให้อบอุ่นได้ มีแต่เร่าร้อนกระวนกระวายหิวกระหายอย่างนั้น. ส่วน สวดจุ้มกุ้มมืองุ่มไม่ถึง ได้แก่ลาภยศสรรเสริญสุข ฝ่ายโลก นั่นแหละ เขาได้กัน เราไม่ได้ เพราะบุญน้อยวาสนาน้อย พลอยรำคาญ เล่าเรียนแล้วก็ไม่ได้ หรือทางฝ่ายธรรม เขาได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณตลอดจนสังฆราช ประมุขของศาสนา อยากได้แล้วก็ไม่ได้. นั่นเป็นเพราะความเกียจคร้าน ไม่สะสมบุญกุศลใส่ตัวไว้ ไม่รีบเร่งบำเพ็ญอินทรีย์ธรรม ไม่บำเพ็ญบารมีธรรม เป็นผู้ติดสุขลืมตน ประมาทท่องเที่ยวเกิดดับภพน้อยภพใหญ่ ขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เซาเหงานอน ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำพร่ำสอนอย่างไร ก็ไม่ยอมทำ ทำได้แต่ความชั่ว แต่ความดีทำไม่ได้ ผลสุดท้าย ก็อับอายขายหน้า เอาแต่ความชั่วอวดเขาทั้งนั้น.

(ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำไว้ ณ ที่นี้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น